อุทยานแห่งชาติไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี (ดูภาพด้านล่าง)
อุทยานแห่งชาติไทรโยค อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 19 ของประเทศ เป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญของสัตว์หายาก 2 ชนิด คือ ค้างคาวกิตติ (ค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลก) และปูสามสี (ปูราชินี) ปูน้ำจืดชนิดใหม่ของโลก แต่ไปคราวนี้พวกเราทีมงานยังไม่มีโอกาสได้เห็น ไว้ถ้ามีโอกาสหน้าจะไม่พลาดเก็บรูปมาฝาก
สิ่งที่น่าสนใจภายอุทยานแห่งชาติไทรโยค เริ่มขึ้นตั้งแต่ขับรถเข้าสู่พื้นที่ของอุทยานที่สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่คอยต้อนรับ ทีมงานเรามาถึงก็ช่วงบ่ายคล้อย เลยพากันรีบลงจากรถเพื่อเดินทางกันเลยที่เดียว ที่แรกที่แวะก่อนก็คือศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แวะเก็บเอกสารข้อมูลเพิ่มเติม และชมการจัดแสดงข้อมูลของทางอุทยาน แล้วก็เดินทางต่อไปเลยก็พบกับบ่อเต่า เรียกกันว่าเต่าหก เพราะมี 6 ขา จริง ๆ แล้วขาอีกสองข้างมีงอกอยู่บริเวณขาหลังสองข้าง แต่ไม่ได้ใช้เดินจริง ๆ
เดินทางต่อมาถึงริมน้ำพบกับสะพานแขวน น้องทีมงานที่ไม่ค่อยถูกโรคกับความสูงที่ด้านล่างโล่ง ๆ เป็นแม่น้ำไหลเชี่ยว เลยขอเวลาทำใจสักพักก่อนที่จะเดินต่อ เพราะว่าน่าหวาดเสียวจริง ๆ แต่คนที่ไม่กลัว ก็ไม่กลัวแม้เวลาเดินมันจะโคลงเคลงไปหน่อยก็เถอะ ด้านล่างของสะพานติดริมแม่น้ำแควน้อยเป็นแพพักหลายหลังเรียงติดกัน แต่ตอนนี้ยังไม่แวะ เพราะว่าจุดหมายปลายทางของพวกเราตอนนี้ยังไม่ใช่ที่นี่
ที่ที่พวกเรากำลังตามหากันอยู่นั่นก็คือ จุดชมวิวของน้ำตกทั้งสองแห่งที่มีชื่อ คือ น้ำตกไทรโยคใหญ่ และน้ำตกไทรโยคเล็ก หลายชีวิตพากันเดินดุ่ม ๆ ลัดเลาะไปตามทางเรื่อย ๆ แต่ถูกผิดไม่รู้ จนได้เจอมุมถ่ายรูป จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใช่จุดชมวิวของน้ำตกทั้งสองแห่งหรือเปล่า เพราะจุดที่แวะถ่ายรูป ไม่มีป้ายบอก พอได้เห็นน้ำตกไทรโยคใหญ่ก็รู้สึกว่าใหญ่สมชื่อ น้ำมีพอสมควรแต่ไม่มากนักสงสัยไม่ใช่ฤดูฝน ส่วนน้ำตกไทรโยคเล็กทำให้ดูสดชื่นดีแม้จะไม่ใหญ่มากนักก็ตาม เก็บรูปได้เท่าที่จะอำนวยแล้วก็พากันเดินย้อนกลับมาที่เชิงสะพานแขวนอีกที เพื่อแวะแถวแพพัก
บริเวณแพพักริมสะพานแขวนจะมีชาวบ้านที่เป็นเจ้าของแพ และเจ้าของเรือนั่งพักผ่อนอยู่ เข้าไปสอบถามราคานั่งเรือเที่ยวชม พี่เจ้าของเรือบอกคิด 300 บาท เดิม 400 เพราะช่วงนี้คนไม่ค่อยมี ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีได้ เพราะต้องวนไป วนกลับ พอลงเรือกันได้ทุกคนก็พร้อมใจกันคว้าชูชีพมาใส่ให้อุ่นใจก่อน แม้ส่วนใหญ่จะว่ายน้ำเป็นกัน แต่น้ำในแม่น้ำแรงมากเลยไม่ค่อยอยากเสี่ยง (Safety First) ดีกว่า
เรือพาล่องไปตามลำน้ำ ลัดเลาะผ่านน้ำตกไทรโยคใหญ่แบบใกล้ชิดเท่าที่จะใกล้ได้ ล่องไปตามแม่น้ำต่อชมวิวทิวทัศน์ให้เพลิน ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเลยจากแถวริมสะพานแขวนมาไกลพอสมควร ด้านในยังมีแพพักซ่อนอยู่อีกหลายแห่งทีเดียว พอสุดด้านนี้พี่เจ้าของเรือก็พาพวกเราวนกลับไปผ่านสะพานแขวนไปชมอีกด้านที่ธรรมชาติคล้าย ๆ กัน และก็มีแพพักให้เลือกอีกหลายที่ จนใกล้เวลาเตรียมตัวกลับท่าเรือ ฝนเจ้ากรรมก็ตก ลมพัดแรง น้ำในแม่น้ำเริ่มเกิดคลื่นใหญ่กว่าปกติ ต่างคนก็ยึดชูชีพตัวเองไว้แน่น พี่เจ้าของเรือที่ถือหางเสืออยู่ก็ประคับประคองเรือไว้ไม่ให้โยกเยกมาก จนค่อย ๆ เลาะมาถึงท่าเรือ ทีมงานผู้โชคดีของเราก็เหยียบท่าเรือที่ทำจากไม้ไผ่สานกันจนทะลุเอาเท้าแหย่น้ำเล่น โชคดีที่ไม่ทะลุลงไปทั้งตัว และอวัยวะส่วนต่าง ๆ ปลอดภัยมีแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น ชำระค่าบริการเสร็จต่างคนต่างรีบชิ่ง กลัวโดนเก็บตังค์เพิ่มค่าท่าเรือ(จริง ๆ ก็คงไม่เก็บเพราะพี่เค้าก็เห็นอยู่ตำตา)
จากนั้นพากันเดินข้ามสะพานแขวนกลับไปฝั่งเดิม เพื่อชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่จัดเป็นเส้นทางไว้เรียบร้อย และระหว่างเส้นทางจะพบกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงเหลืออยู่ว่าเคยมีทหารแวะมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คือเตาญี่ปุ่นโบราณนั่นเอง(ดูรูปด้านล่าง) ออกจากเส้นทางธรรมชาติเห็นป้ายบอกทางไปถ้ำ แต่มีหมายเหตุให้ระมัดระวัง เพราะมืด และก็เข้าให้แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อน เลยไม่ได้เข้าไปชมเนื่องจากต้องเข้าที่พักต่อ หากท่านใดมีโอกาสได้เข้าไปชมอยากลืมเขียนมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
การเดินทาง
รถยนต์ ห่างจากตัวเมืองกาญจน์ 104 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 (กาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) บริเวณกิโลเมตรที่ 82 (ข้อมูลจากททท.)
|
น้ำตกไทรโยคใหญ่ ภายในอุทยานแห่งชาติไทรโยค |
|
น้ำตกไทรโยคเล็ก และเส้นทางเดินธรรมชาติ |
|
ภายในอุทยานแห่งชาติไทรโยค มีแพพัก แพลากจำนวนมากให้เลือกใช้บริการ |
|
เต่าหก(ภาพแรก) และเตาญี่ปุ่นโบราณ(ภาพที่สาม) ภายในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ |
|
ยามเย็นกับบรรยากาศเย็น ๆ ภายในอุทยานแห่งชาติไทรโยค |
|